advertisement

น้ำ รพีภัทร กับ รพีภัทรฟาร์ม ใช้ชีวิตตามฝันก่อนวัยเกษียณ


advertisement

       หายหน้าหายตาจากวงการไปนานเลยทีเดียวค่ะ สำหรับอดีตพระเอกหนุ่ม "น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล" อดีตพระเอกหนุ่ม วัย 35 ปี ที่ตอนนี้หันไปใช้ชีวิตแบบติดดินที่ จ.นครนายก กับภรรยาและลูก และยังมีการเปิดฟาร์มไก่ชน บ่อเลี้ยงปลา และจะทำการเกษตรอีกด้วย

        ล่าสุด สมาชิกพันทิปหมายเลข 5691507 ได้ออกมาถ่ายทอดเรื่องราวของอดีตพระเอกหนุ่มติดดิน ซึ่งตอนนี้เขาได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายตามแบบที่ตนเองฝัน โดยได้ระบุว่า…

        "ผมว่าจริงๆ แล้วคนที่อยู่ต่างจังหวัด อยากกลับมาใช้ชีวิตที่บ้าน สูดอากาศดีๆ อยู่อย่างสบายๆ เหมือนกันทั้งนั้น"น้ำ – รพีภัทร เอกพันธ์กุล เอ่ยขึ้นขณะเอนกายนั่งคุยสบายๆ ที่บ้านกลางทุ่งของเขาในอำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก

        ชีวิตที่บ้านไร่ชายทุ่งของเขาเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เขาเลือกกลับมาลงหลักปักฐานที่จังหวัดบ้านเกิด ปลูกปั้นฟาร์มไก่ที่เป็นความรักความชอบเมื่อเยาว์วัย และอีก 2 ปีต่อมาเขาย้ายครอบครัวมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างถาวร

        ในฐานะคุณพ่อลูกสอง เขาตั้งใจเลี้ยงลูกชายและลูกสาวให้เป็นเด็กบ้านทุ่งที่ได้สูดอากาศดีๆ สัมผัสวิถีชีวิตที่อยู่กับดิน หญ้า และสัตว์เลี้ยงเหมือนกับเขาในวันวาน ทุกวันนี้เขาเลี้ยงไก่ เลี้ยงควาย เลี้ยงม้า เลี้ยงปลา และใช้ชีวิตสบายๆ เหมือนได้พักผ่อนต่างจังหวัดทุกวัน ชนิดไม่ต้องรอวันหยุดแล้วหาโอกาสไปเที่ยว

       ขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงทำงานในวงการบันเทิง ไม่ได้ห่างหายไปไหน เพียงแต่ไม่โหมรับงาน และบาลานซ์ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยมในวัยเพียง 35 ปี น้ำ รพีภัทร มีชีวิตเนิบช้าที่เขาปรารถนามาตลอด โดยไม่ต้องรอให้ถึงวัยเกษียณ


advertisement


advertisement

      หนุ่มดัชชี่บอยอายุ 17 ปีต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่เพื่อเตรียมตัวพร้อมเข้าวงการบันเทิง เขาต้องนั่งรถเข้ากรุงเทพฯ ในวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อเริ่มเรียนพื้นฐานการเป็นนักแสดง ตั้งแต่การปรับบุคลิกภาพ การแสดง และการร้องเพลง สุดท้ายน้ำต้องเลือกทิ้งชีวิตนักเรียนมัธยม 6 ที่จังหวัดนครนายก และเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเป็นนักแสดงสังกัดช่อง 7 อย่างเต็มตัว

       ละครที่ทำให้ชื่อของ น้ำ รพีภัทร ดังเปรี้ยงปร้างคือ เบญจา คีตา ความรัก ที่เขารับบทเป็น สามภพ หนุ่มมาดเนี้ยบลูกคุณหนู หนึ่งในตัวเด่นของเรื่อง จากนั้นกราฟความนิยมของเขาก็พุ่งสูง กลายเป็นดาราดาวรุ่งมาแรงและขึ้นแท่นพระเอกเบอร์หนึ่งของช่องในที่สุด ช่วงเวลานั้นเขาใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ถึงกับมีฉายาว่าเป็น "เด็กแสบของช่อง"

       "เมื่อก่อนผมเป็นคนสุขนิยมมากนะ เอาสุขไว้ก่อน แล้วช่วงนั้นยังเด็ก ร่างกายแข็งแรง เที่ยวแล้วไปทำงานเช้าได้ อาจไปแบบหน่วงๆ แต่ฟื้นตัวไว ผมใช้ชีวิตเต็มที่นะ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ถือว่ามันมาก และใช้ชีวิตอย่างนั้นมานานพอสมควรเลย"


        4 ปีที่แล้ว น้ำไปกลับกรุงเทพฯ-นครนายกบ่อยขึ้น เพราะเริ่มลงหลักปักฐานด้วยการขยายฟาร์ม พร้อมไปกับการสร้างบ้านหลังใหญ่สำหรับครอบครัว และอีก 2 ปีให้หลังเขาก็พาทั้งครอบครัวย้ายมาตั้งรกรากที่นี่ถาวร

        “เป็นความตั้งใจของผมอยู่แล้วที่จะย้ายกลับมาอยู่ต่างจังหวัดและทำในสิ่งที่รัก ตอนที่คบกับมินตรา ก่อนจะแต่งงานก็ถามเขาว่า ถ้าวันหนึ่งเราย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดเขาจะโอเคไหม พอเขาบอกว่า พี่อยู่ที่ไหนหนูอยู่ที่นั่น เราก็สบายใจ”

        อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาพาครอบครัวหลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองหลวง เพราะตั้งใจอยากให้ลูกๆ ทั้งสองเติบโตในแบบ ‘เด็กบ้านทุ่ง’ เหมือนตัวเขาเอง “โอเชี่ยนเป็นเด็กชอบเล่นโทรศัพท์ ผมอยากให้เขาละจากหน้าจอบ้าง พามาอยู่ที่นี่เขาก็ได้ทำกิจกรรมอื่นๆ ชวนกันเล่นจนแทบหมดวัน ผมอยากให้เขามีกิจกรรมคล้ายกับที่ผมเคยทำเคยเล่นตอนเด็ก "ผมว่าการเป็นเด็กต่างจังหวัดมีข้อได้เปรียบตรงที่เวลาเขาอยากทดสอบหรือทำกิจกรรมอะไร เขาได้สัมผัสกับมันได้เลย ไม่ต้องรอโรงเรียนจัดมาหรือรอวันหยุดมาเที่ยว เราทำได้ทุกวัน รวมไปถึงเรื่องอากาศที่ดีกว่า รวมไปถึงอารมณ์ของเด็กด้วย อย่างมารีนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด เขาก็จะไม่ค่อยกลัวอะไรสักเท่าไหร่"

        เมื่อถามถึงชีวิตตอนนี้ น้ำบอกว่ากำลังอยู่ในจุดสมดุลที่ดี มีเวลาได้หยุดพักอยู่บ้านและไปทำงานชนิดที่แบ่งเวลาต่อสัปดาห์ได้อย่างละครึ่ง เขาเลือกที่จะไม่โหมรับงานหนักเกินไป เพื่อจะได้มีเวลาอยู่บ้านและทำอีกหนึ่งงานที่รัก ซึ่งกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตไปแล้ว


advertisement

      “งานในวงการผมก็ทำแทบทุกอย่างแล้วนะ ทำเต็มที่และทำครบได้หมด เวลาส่งงานอะไรมา ใครไม่เอาผมเอา ผมทำได้หมด จบงานที่ผมได้ จนถึงตอนนี้ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว ผมมีความสุขกับงานที่ได้ทำ คนอื่นอาจรู้สึกว่าไม่เห็นค่า ไม่ได้เห็นความสำคัญ แต่เราโอเค เราเต็มที่และมีความสุขกับทุกงาน” ถึงตรงนี้ เราถามว่าเขาคิดเห็นอย่างไรกับสัจธรรมในวงการบันเทิง ที่วันหนึ่งกราฟความนิยมที่เคยพุ่งสูงสุดต้องตกลงมาตามกาลเวลา และเขาเคยเจ็บปวดกับชีวิตแบบนั้นบ้างไหม

      "ผมผ่านจุดนั้นมาตั้งนานแล้ว" เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง "จะบอกว่าไม่เคยคิดเลยก็คงไม่ใช่ แต่ผมกลับไปคิดถึงตอนที่เริ่มเรียนการแสดงว่า เราเรียนมาเพื่อเป็นนักแสดง ไม่ใช่มาเป็นดาวค้างฟ้า ไม่ได้มาเป็นซูเปอร์สตาร์ ผมเรียนทุกอย่างจากครูอาจารย์เพื่อเป็นนักแสดง
ดังนั้นผมจึงไม่รู้สึกเสียดายที่วันหนึ่งไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่ง เพราะผมยังเป็นนักแสดงอยู่ไม่ใช่เหรอ ผมยังสร้างความบันเทิง ยังเป็นตัวละครได้ ผมให้ความสำคัญว่าเราทำหน้าที่ของนักแสดงได้ดีหรือไม่มากกว่า แค่นั้นจบ เรื่องอื่นไม่ซีเรียส"

       น้ำยังยืนยันว่าเขายังคงรับงานในวงการบันเทิงไปเรื่อยๆ แม้แฟนละครอาจไม่ได้เห็นผลงานถี่เท่าเมื่อก่อน แต่เขาบอกว่า "ขอให้ความคิดถึงได้ทำงานบ้างก็ดีเหมือนกัน"

       "ความสุขวันนี้ของผมคือการได้อยู่กับครอบครัว ได้ทำในสิ่งที่รัก ครบแล้วล่ะ ชีวิตไม่ต้องดิ้นรนแข่งขันกับใคร รพีภัทรฟาร์ม ก็ทำด้วยความรัก สโลแกนคือทำด้วยใจ ผมคงไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายกว่าเดิมหรอก เอาแค่พออยู่ได้ ไม่เดือดร้อนใคร ลูกเมียผมกินอิ่ม อยากกินอะไรได้กิน ได้ไปเที่ยวไหนมาไหนบ้าง แค่นั้นเอง มีความสุขแล้ว ไม่ต้องใหญ่โตอะไร แค่ได้นั่งดูควายกินฟางเคี้ยวเอื้อง ผมสบายใจจนบางทีลืมเรื่องเครียดไปได้ชั่วขณะเลยนะ กลับจากทำงานผมต้องเดินมาที่ฟาร์มทุกวัน พอได้ดูไก่ดูควายแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย” เขาว่าพลางลูบหัวเจ้าอั่งเปา คนเราบางทีกว่าจะได้มาต่างจังหวัดต้องรอวันหยุด ต้องหาโอกาสมาเที่ยว แต่ผมไม่ต้องเป็นแบบนั้นแล้ว ผมได้อยู่ต่างจังหวัดทุกวัน ได้พักผ่อน และมีความสุขทุกวันจริงๆ"

       เชื่อว่าคงเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการใช้ชีวิตที่หลายคนใฝ่ฝัน บางคนรอวันเกษียณ แต่สำหรับเขาแล้ว ได้ใช้ชีวิตแบบของตนเองตั้งแต่อายุยังน้อยเลยทีเดียว

เรียบเรียงโดย : thaihitz.com ขอขอบคุณข้อมูลจาก readthecloud.co, สมาชิกพันทิปหมายเลข 5691507 


advertisement