advertisement

เด็กราชภัฏ เริ่มงานจากเงินเดือน8,000เป็น50,000ภายใน10ปี


advertisement

       ใครที่จบจากสถาบันราชภัฏ หรือว่าสถาบันที่ไม่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรมากมาย เวลาที่ไปหางานก็มักจะถูกมองข้าม ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เด็กสถาบันที่ไม่มีชื่อเสียงรู้กันดีว่าการจบมาแล้วหางานมันยากเย็นมากแค่ไหน วันนี้เราจะพาไปอ่านประสบการณ์ดีๆ จากเด็กราชภัฏจบมาหางานยากสุดๆ เริ่มต้นด้วยงานเงินเดือน 8,000 บาท จนได้เงินเดือน 50,000 บาท ภายใน 10 ปี เป็นประสบการณ์จากสมาชิกพันทิปหมายเลข 5413890 ได้โพสต์เล่าว่า…

     กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อหวังเป็นแนวทางสำหรับน้องๆ ที่กำลังจะเรียนจบ หรือน้องๆ ที่กำลังหางาน ไม่ได้ต้องการแบ่งแยก หรือก่อให้เกิดประเด็นดราม่าใดๆ ครับ

     ก่อนอื่นต้องขอยอมรับอย่างจริงจังว่า คนที่จบจากสถาบันราชภัฏ หางานดีๆ ทำค่อนข้างยาก อาจจะด้วยคุณภาพของนักศึกษา หรือมาตรฐานของสถาบันที่ยังเป็นรองสถาบันอื่นๆ อยู่มาก

     อย่างตัวผมเอง จบจากสาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากสถาบันราชภัฏ แห่งหนึ่ง (ไม่ดังเลย) แค่ชื่อสาขาที่เรียน ก็คงจะทำเอาหลายคนงงว่าเรียนเกี่ยวกับอะไร เกี่ยวกับศาสนาหรือเปล่า ชื่อช่างยาวเสียจริง อ่านออกเสียงว่ายังไงดี เชื่อว่าหลายๆ คนคงสงสัย สรุปอ่านว่า รัด-ถะ-ประ-สา-สะ-นะ-สาด เรียนเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง การบริหารภาครัฐ กฎหมายต่างๆ การบริหารบุคคล คือเรียนแบบรวมๆ (เหมือนเอาเนื้อหาบางส่วนของ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ บริหาร จิตวิทยา มาเรียนรวมๆกัน แต่ไม่เจาะลึกมากนัก)

     หลังจากเรียนจบด้วยเกรด 3.50 (หลายคนอาจจะมองว่าเกรดสูง แต่บางคนอาจจะมองว่า ยังเก่งสู้เกรด 2.00 ของมหาวิทยาลัยดังๆ ไม่ได้ อันนี้มก็ยอมรับครับ) ผมใช้เวลาเดินสายหานงานประมาณ 6 เดือน  ฐานะที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยมาก ตั้งใจว่าเรียนจบ จะรีบหางาน มาแบ่งเบาภาระทางบ้านให้ได้เร็วๆ แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งเครียด แต่ก็ยังดีที่ทางบ้าน เข้าใจและเป็นกำลังใจที่ดีเสมอมา ผมไปสมัครหลายที่ หมดรูปถ่ายไปหลายชุด คงจะจริงที่ว่า แค่เห็นสถาบัน เขาก็โยนใบสมัครเราทิ้งถังขยะแล้ว ยิ่งเด็กจบใหม่อย่างผมประสบการณ์เป็น 0 ยิ่งลำบาก บางครั้งโชคดีได้เข้าสัมภาษณ์ก็เป็นเหมือนแค่ตัวประกอบมาให้ครบ ไม่เคยผ่านเลย ทั้งที่สมัครแบบไม่เลือกงาน ทั้งธุรการ ประชาสัมพันธ์ HR ไปจนกระทั่งพนักงานฝ่ายผลิต

     จนวันหนึ่งโชคดี ได้สัมภาษณ์โรงงานเล็กๆ เจ้าของเเป็นอาแป๊ะ มีพนักงานประมาณ 40 คนเขาติดป้ายหน้าโรงงานเปิดรับตำแหน่ง HR ซึ่งเราก็เคยเรียนวิชาเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน การบริหารบุคคล และจิตวิทยา มาบ้าง (คิดว่าคงพอทำได้) การสัมภาษณ์ไม่มีอะไรเลย  คุยกับอาแป๊ะโดยตรง ไม่มี HR สัมภาษณ์ (เพราะความจริง ผมคือ HR  คนแรกของที่นี่) ผมก็โม้ไปว่าเรียนอะไรมาบ้าง อาแป๊ะตกลงรับทำงาน โดยให้เงินเดือน 8,000 บาท (ช่วง 10 ปีที่แล้ว พนักงานวุฒิ ป.ตรี น่าจะได้เงินเดือนประมาณ 12,000 – 18,000 บาท) ด้วยความที่เราจบใหม่ ยอมรับเลยว่าทำงานไม่เป็น ซึ่งเราเป็น HR คนเดียวของโรงงานขึ้นตรงกับผู้จัดการโรงงาน เขาสั่งให้ทำอะไร ก็ทำตามนั้น จำได้เลยว่าตอนแรกๆ มีหน้าที่ เดินจับผิดพนักงาน ใครพักเกินเวลาก็จดชื่อรายงานผู้จัดการ ใครเข้าห้องน้ำนานก็จดชื่อ เดินตรวจโรงงานเกือบทั้งวัน จนรู้สึกได้ว่าพนักงานทั้งโรงงานคงจะเกลียดหนังหน้าเรา อยู่ได้สักพัก เริ่มออกกฎระเบียบต่างๆ มากขึ้น ส่วนสิ่งดีๆ ก็เริ่มนำเสนออาแป๊ะเหมือนกัน
เช่น จัดกีฬาสี เลี้ยงปีใหม่ (ก่อนหน้านี้ไม่เคยมี) 


advertisement


advertisement

     สรุปงานหลักๆ ของผมคือ ดูแลเรื่องระเบียบวินัย และกิจกรรมพนักงาน (ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ HR เช่น ฝึกอบรม, เงินเดือน ไม่ได้ทำเลยจ้า) เงินเดือนนั้น อาแป๊ะใส่ซองแจก ทุกสิ้นเดือน จนทำมาได้ 3 ปี เงินเดือนขึ้นทะลุเพดานค่าจ้างอยู่ที่ประมาณ 9,000 บาท ผมก็ตัดสินใจมองหางานใหม่ มีบริษัทแห่งหนึ่งเปิดรับเจ้าหน้าที่แรงงานสัมพันธ์ เงินเดือน 14,000 บาท บวกค่าเช่าบ้าน 2,000 บาท รวมๆ 16,000 บาท รายละเอียดงานตรงกับที่เราทำเลยคือ รับผิดชอบด้านกฎระเบียบและกิจกรรมพนักงาน ผมทำอยู่ที่นั่นได้สักพัก ก็มีสหภาพแรงงานเกิดขึ้นที่บริษัทฯ ผมก็ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกันกับสหภาพ แรงงาน ระหว่างที่ทำงานผมก็เรียนนิติรามฯ ควบคู่ไปด้วย และฝึกเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตัวเอง จนไปสอบ TOEIC ได้ 600 คะแนน ผมทำงานอยู่ที่นั่นได้ 5 ปี จนเงินเดือน ขึ้นมาที่ 25,000 บาท ผมจึงลาออก

     ปัจจุบันผมทำงานในตำแหน่ง หัวหน้าแผนแรงงานสัมพันธ์ ของบริษัทมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แถวภาคตะวันออก (ทำมาได้ 2 ปีแล้ว แต่อายุงานรวมๆ 10 ปี) ได้เงินเดือน 50,000 บาท ซึ่งบางคนอาจจะมองว่า ก็ไม่ได้เยอะอะไรนี่ บางคนทำงานไม่ถึง 10 ปี เงินเดือนเกินแสน อันนั้นก็แล้วแต่แต้มบุญของแต่ละบุคคลครับ

     สิ่งที่อยากจะบอกน้องๆ ที่จบจากสถาบันไม่ดัง แต่อยากได้งานที่ดี เราควรทำดังนี้

     1.แสวงหาความรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ การอยู่กับที่ในขณะที่โลกหมุนไป เท่ากับ การเดินถอยหลัง ผมรู้ว่าใบปริญญาของผมอาจจะไม่ดึงดูด ผมก็ไปหาใบปริญญาอีกใบ     

     2.ภาษาอังกฤษ สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะสอบให้ได้คะแนนดีๆ แต่ต้องสื่อสารได้ด้วย

     3.การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานเอาให้คล่อง พิมพ์ให้เร็ว สูตรลัดต่างๆ ให้แม่น

     4.อ่อนน้อมถ่อมตัว อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว เรียนรู้จากผู้อื่นให้มาก คำด่าคือคำสอน

     5.ไม่รู้ อย่าแถ อย่าเถียงข้างๆ คูๆ นำเสนอด้วยข้อมูลและเหตุผล และเสนอความคิดเห็น ที่เป็นประโยชน์และเป็นไปได้

     6.คิดให้มากกว่าที่เป็นอยู่ 1 ขั้น เช่น เราเป็นพนักงาน เราต้องคิดให้ได้ว่าหัวหน้างาน ต้องการอะไร หรือถ้าเราเป็นหัวหน้างาน เราต้องคิดให้ได้ว่าผู้จัดการต้องการอะไร

     7.ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวรในที่ทำงาน เรารับรู้ รับฟังได้ แต่อย่าอินให้มาก วางตัวกลางๆ เข้าให้ได้กับทุกฝ่าย บนหลักการของเราเอง (ไม่ได้สอนให้เป็นคนสองหน้า) แต่ต้องวางตัวให้เป็น

     8.มีเวลาก็ผ่อนคลาย อย่าไปเครียดมาก คนโสดจะไปเที่ยวอาบอบนวดบ้าง ก็ไม่เสียหาย

     9.ทำตัวเองให้พร้อมรับโอกาสอยู่เสมอ เพราะโอกาสดีๆ มีมาไม่บ่อย หากโอกาสผ่านมา แต่เรายังไม่พร้อม นั่นคือเรื่องน่าเสียดาย เช่น มีงานดีๆ ที่ตรงกับตัวเรามาก แต่มีเงื่อนไข คือต้องมีคะแนน TOEIC 500 ขึ้นไป แต่เราไม่เคยไปสอบเลย แบบนี้ก็เสียโอกาส

     10.การเปลี่ยนแปลงราชภัฏ คงทำได้ยาก แต่มันเริ่มต้นที่ตัวเราเอง ถ้ามีโอกาสผมก็อยาก รับลูกน้องที่จบจากราชภัฏบ้าง เตรียมตัวกันให้พร้อมๆ นะครับ ทุกวันนี้ลูกน้อง 3 คน จบจาก ม.เกษตร ม.บูร ม.นเรศวร ซึ่งน้องๆ เก่งกว่าผมในตอนอายุเท่ากันอยู่มากครับ

     ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ทั้งการเรียนจบสถาบันที่ไม่ได้ดังอะไร หางานยากแล้ว ได้งาน เปลี่ยนงานที่ดีขึ้น ขยันอดทน จนประสบความสำเร็จเงินเดือนทะลุ 50,000 บาท ภายใน 10 ปี บอกเลยว่าเก่งจริงๆ อ่านแล้วเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ

เรียบเรียงโดย : thaihitz.com ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาชิกพันทิปหมายเลข 5413890


advertisement