advertisement

มนุษย์เงินเดือนต้องควักจ่ายเพิ่ม ปรับสิทธิประกันสังคม 2569 เคาะสูตรบำนาญใหม่


advertisement

       วันนี้ (18 ก.ย.2568) ทางด้าน รศ.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานคณะอนุกรรมการศึกษาและปรับปรุงสูตรการคำนวณบำนาญชราภาพ ผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับโครงสร้างบำนาญชราภาพ โดยเตรียมเปลี่ยนวิธีคำนวณเป็นสูตร CARE (Career-Average Revalued Earnings) เพื่อสะท้อนรายได้จริงของผู้ประกันตน และสร้างความเป็นธรรมต่อทุกช่วงวัยการทำงาน

       สำหรับสาระสำคัญสูตรใหม่

       1.ปรับวิธีคำนวณเงินบำนาญชราภาพ จากเดิมใช้ฐานเงินสมทบ 60 เดือนสุดท้าย เปลี่ยนเป็นใช้ฐานเงินสมทบเฉลี่ย 180 เดือนสุดท้าย เพื่อสะท้อนรายได้ที่แท้จริงของผู้ประกันตน

       2.ปรับกติกาเปลี่ยนผ่าน กรณีคำนวณบำนาญชราภาพสูตรใหม่ได้น้อยกว่าสูตรเดิม เห็นควรกำหนดระยะ 5 ปี โดยผู้ที่เกษียณภายในปีที่ 1 หลังแก้ไขกฎหมายให้ชดเชยส่วนต่าง 100% และลดหลั่นลงปีละ 20% โดยปีที่ 2 ชดเชย 80%, ปีที่ 3 ชดเชย 60%, ปีที่ 4 ชดเชย 40%, ปีที่ 5 ชดเชย 20%

       3.กำหนดแนวทางการจ่ายบำนาญชราภาพใหม่ ใช้ระบบคะแนนบำนาญชราภาพ (Pension Point) โดยคิดจากค่าจ้างของผู้ประกันตนที่นำส่งเงินสมทบ ประกอบกับมีการปรับค่าบำนาญตามดัชนีค่าครองชีพ (CARE) เพื่อให้ทันต่อสภาพเศรษฐกิจ

       4.มีเป้าหมายการปรับปรุงสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ เพื่อสร้างความมั่งคงและเป็นธรรมแก่ผู้ประกันตน เมื่อต้องพึ่งพารายได้หลังเกษียณอายุให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

       5.มติบอร์ดประกันสังคม เห็นชอบข้อเสนอตามที่คณะอนุกรรมการศึกษาฯ ให้มีการปรับเพิ่มฐานค่าจ้างมาตรา 39 อย่างต่อเนื่องตามค่าเงินที่เปลี่ยนไป เพื่อให้สอดคล้องกับคิดบำนาญสูตร CARE

       6.ให้ สปส.จัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์การบริหารความยั่งยืนทางการเงิน (Funding Strategy) นำเสนอให้บอร์ดประกันสังคมพิจารณากำหนด Funding Strategy โดยรวม ถึงแนวทางปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบภายในปี 2570 เพื่อครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับสูตรบำนาญชราภาพ


advertisement

       ด้าน นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการ สปส. กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคมได้พัฒนา Pension Calculator (sso.thaith.ai/care) ให้ผู้ประกันตนคำนวณสิทธิได้เอง

       ปรับโครงสร้างเงินสมทบ 2569

       สปส.เตรียมเดินหน้าแนวคิด “จ่ายตามจริง ได้ประโยชน์ตามจริง” โดยปรับฐานค่าจ้างสูงสุดและเงินสมทบขึ้นตามขั้นบันได

       ปัจจุบัน (ปี 2568)

       – ฐานค่าจ้าง 15,000 บาท จ่ายเงินสมทบสูงสุด 750 บาท/เดือน

       สิทธิประโยชน์ เช่น เจ็บป่วย 7,500 บาท/เดือน (250 บาท/วัน สูงสุด 180 วัน รวม 45,000 บาท), คลอดบุตร 22,500 บาท/ครั้ง, กรณีทุพพลภาพ 7,500 บาทต่อเดือน, สงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 90,000 บาท, ทดแทนกรณีว่างงาน 7,500 บาท/เดือน, บำนาญ 3,000-5,250 บาท/เดือน กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 3,000 บาท/เดือน ส่วนกรณีส่งเงินสมทบ 25 ปี 5,250 บาท/เดือน

       ปี 2569-2571

       – ฐานค่าจ้าง 17,500 บาท จ่ายสมทบสูงสุด 875 บาท/เดือน

       สิทธิประโยชน์ เช่น เจ็บป่วย 8,750 บาท/เดือน (291 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 52,500 บาท), คลอดบุตร 26,250 บาท/ครั้ง, กรณีทุพพลภาพ 8,750 บาทต่อเดือน, สงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 105,000 บาท,

       ทดแทนกรณีว่างงาน 8,750 บาท/เดือน, บำนาญ 3,500-6,125 บาท/เดือน กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 3,500 บาทต่อเดือน, บำนาญ กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 3,500 บาทต่อเดือน ส่วนกรณีส่งเงินสมทบ 25 ปี 6,125 บาทต่อเดือน


advertisement

       ปี 2572-2574

       – ฐานค่าจ้าง 20,000 บาท จ่ายสมทบสูงสุด 1,000 บาท/เดือน

       สิทธิประโยชน์ เช่น เจ็บป่วย 10,000 บาท/เดือน (333 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 60,000 บาท), คลอดบุตร 30,000 บาท/ครั้ง, ทดแทนกรณีทุพพลภาพ 10,000 บาทต่อเดือน, สงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 120,000 บาท, ทดแทนกรณีว่างงาน 10,000 บาทต่อเดือน, บำนาญ 4,000-7,000 บาท/เดือน กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 4,000 บาท/เดือน ส่วนกรณีส่งเงินสมทบ 25 ปี 7,000 บาท/เดือน

       ปี 2575 เป็นต้นไป

       – ฐานค่าจ้าง 23,000 บาท จ่ายสมทบสูงสุด 1,150 บาท/เดือน

       สิทธิประโยชน์ เช่น เจ็บป่วย 11,500 บาท/เดือน, คลอดบุตร 34,500 บาท/ครั้ง, ทดแทนกรณีทุพพลภาพ 11,500 บาท/เดือน, สงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 138,000 บาท, ทดแทนกรณีว่างงาน 11,500 บาท/เดือน, บำนาญ 4,600-8,050 บาท/เดือน กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 4,600 บาท/เดือน ส่วนกรณีส่งเงินสมทบ 25 ปี 8,050 บาท/เดือน

       ความคืบหน้า

       – อยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฎกระทรวงและเสนอ ครม.

       – สปส.ตั้งเป้าเริ่มใช้ทันทีเมื่อกฎหมายมีผลบังคับในปี 2569

       – มีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นกว่า 200,000 คน โดย 95% เห็นด้วยกับการปรับโครงสร้าง


advertisement

       การปรับสูตรบำนาญและเงินสมทบประกันสังคมครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน สร้างเสถียรภาพทางการเงินกองทุน และยกระดับความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว 

เรียบเรียงโดย : thaihitz.com 


advertisement