advertisement
เรียกได้ว่าเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการสงฆ์เป็นอย่างมาก สำหรับ กรณี เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ออกหมายจับ พระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ชื้อ หรือ จัดการรักษาทรัพย์ แต่กลับเบียดบัง หรือ ทุจริตทรัพย์นั้นมาเป็นของตน, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต” หลังตรวจสอบพลว่ายักยอกเงินวัด 300 ล้าน แทงบาคาร่าออนไลน์ โดยเมื่อช่วงเช้า พระธรรมวชิรานุวัตร เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อเข้ามอบตัว
โดยวันนี้เราจะพาไปดูพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา เกี่ยวกับคำว่า “ปาราชิก” ถือเป็นโทษทางวินัยสงฆ์ที่ร้ายแรงที่สุดในพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา หมายถึง “ผู้ต้องพ่าย” หรือ “ผู้แพ้แก่ตัวเอง” ซึ่งหมายความว่า พระภิกษุผู้กระทำความผิดตามข้อบัญญัตินี้จะหมดสิ้นความเป็นพระทันที แม้จะยังไม่กล่าวลาสิกขาบทก็ตาม
โทษปาราชิกจัดอยู่ในกลุ่ม “ครุกาบัติ” หรืออาบัติหนัก และมีทั้งหมด 4 ข้อ ซึ่งบัญญัติไว้ในพระวินัยปิฎก หมวดศีล 227 ข้อ ดังนี้
1.เสพเมถุน – มีเพศสัมพันธ์กับบุคคลใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน หรือแม้กระทั่งซากศพ
2.ลักทรัพย์ – ขโมยของที่เจ้าของไม่ได้ให้ โดยมูลค่าตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป (ประมาณ 1 บาท)
3.ฆ่าคน – จงใจทำให้มนุษย์เสียชีวิต ไม่ว่าจะลงมือเอง จ้างวาน หรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นตาย เช่น การพูดชักจูงให้ยินดีกับความตาย รวมถึงการทำแท้ง
4.อวดอุตริมนุสธรรม – กล่าวอวดรู้ธรรมะขั้นสูงหรืออภิญญา ทั้งที่ตนเองไม่ได้รู้จริง ยกเว้นในกรณีที่เข้าใจผิดโดยไม่เจตนา
advertisement
advertisement

พระภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกในข้อใดข้อหนึ่งจะสิ้นสภาพจากการเป็นพระภิกษุทันที แม้จะไม่กล่าวคำลาสิกขาบท ถือเป็นอาบัติประเภท “อเตกิจฉา” คือแก้ไขไม่ได้ และไม่สามารถกลับมาบวชใหม่ได้อีกตลอดชีวิต หากฝ่าฝืนจะถือเป็น “อลัชชี” หรือ “ผู้ไม่ละอายต่อบาป” และไม่สามารถอยู่ร่วมกับหมู่สงฆ์ได้
–
advertisement

อาบัติปาราชิกจึงเป็นบทบัญญัติสำคัญที่แสดงถึงความเคร่งครัดในพระวินัยของพระพุทธศาสนา โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์แห่งเพศบรรพชิต และปกป้องศรัทธาของสาธุชนต่อพระธรรมวินัย
เรียบเรียงโดย : thaihitz.com
advertisement