ปรับโฉมเรือนโคราชเดิมหลังน้อย ให้สวยน่าอยู่ มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น

เป็นอีกหนึ่งสไตล์บ้านที่หลายคนชื่นชอบ สำหรับ บ้านไม้เรือนไทย เป็นบ้านไม้แบบดั้งเดิม ในสมัยนี้มีการนำมาปรับให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น วันนี้เราจะพาไปดูบ้านเรือนไทยสมัยใหม่ยกพื้นสูง ปรับปรุงจากเดิมให้ดูทันสมัย น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เป็นไอเดียจากทางด้านสมาชิกพันทิป Apple Devil จะออกมาสวยขนาดไหนนั้น ตามไปดูกันเลยครับ

สวัสดีครับ ไม่ได้ตั้งกระทู้อะไรเสียนาน หลังจากที่ผมปลูกบ้านของตัวเองโดยยึดรูปแบบของเรือนโคราช ก็ผ่านมาแล้ว 2 ปี กับ 9 เดือน ว่ากันว่า การปลูกบ้านของตัวเองครั้งแรกนั้น มันจะต้องประสบพบเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายทั้งดีทั้งร้าย กว่าจะทำสำเร็จลงตัวก็ต้องให้ประสบการณ์สอนไประยะเวลาหนึ่งก่อน เดิมทีนั้น บ้านผมเป็นเรือนโคราชแบบเรือนสามห้อง ตัวเรือนมีสามระดับลดหลั่นกันลงมาตั้งแต่ เรือนนอน เกย จนมาถึงพะระเบียงหรือชานแดดที่เป็นส่วนที่ต่ำที่สุด ตรงชานแดดมีครัวไฟและมีพื้นที่เปิดโล่ง

ตอนเด็ก ๆ ผมอยู่บ้านแม่ ก็มีชานแดดเปิดโล่งเช่นนี้มานานหลายสิบปีตั้งแต่รุ่นคุณตา กระทั่งรื้อบ้านไป เอาไม้มาปลูกเรือนหลังใหม่ (สามสิบกว่าปีแล้ว) กระดานชานแดดก็ยังไม่พัง แต่บ้านผมตอนปลูกเสร็จใหม่ ๆ ผ่านไปแค่ 4 เดือน ชานแดดผมเริ่มออกอาการสีลอกร่อน ไม้บางแผ่นบิดตัว ผมจึงหาผ้าใบมากางคลุมในฤดูฝนเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กระทั่งเกิดพายุลมแรงฉีกเอาผ้าใบคลุมชานแดดของผมขาดวิ่นเหมือนกระดาษ ต้องซื้อผ้าใบมาเปลี่ยนเป็นรอบที่สอง แต่ละรอบก็ไม่ใช่เงินน้อย ๆ ขนาด 4×5 เมตรก็หกพันกว่าบาท และสุดท้ายต้องเปลี่ยนกระดานชานแดดใหม่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงสองปี (แต่ก็เอาไม้กระดานเดิมไปทำโครงสร้างเรือนอีกหลัง) ซึ่งพ่อผมเตือนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า สภาพดินฟ้าอากาศบ้านเราไม่เหมือนทางอีสานเขานะลูก บ้านเขาฝนน้อย บ้านเราฝนชุก แถมตอนนี้สภาพอากาศปัจจุบันรุนแรงกว่าอดีตมาก ซึ่งตอนนั้นนอกจากผมจะไม่เชื่อพ่อแล้ว ผมยังไม่มีตังเหลือพอจะไปทำหลังคาคลุมชานแดดอีกด้วย อิอิ

ของเดิมกางผ้าใบเอาไว้

แต่พอผ่านไปสองปีกว่า ผมต้องมานั่งคิดใหม่แล้วว่า ผมจะทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหาฝนฟ้าและแสงแดดแผดเผา และต้องทำให้บ้านออกมาดูแล้วยังคงความเป็นเรือนโคราชเหมือนเดิม โดยที่มีหลังคาคลุมชานแดดส่วนใหญ่เอาไว้ และต้องโล่ง โปร่ง ลมพัดเย็นสบายเหมือนเดิม ด้วยเงื่อนไขตรงนี้ทำให้ผมนั่งคิดหาวิธีปรับปรุงบ้านอยู่นานหลายเดือน ขับรถผ่านบ้านโบราณหลังไหนก็จอดดู บางคืนก็นอนไม่หลับเพราะคิดแต่เรื่องนี้ แต่กระนั้นก็ยังคงหาซื้อไม้เก่าเอามาสะสมเอาไว้ทีละเล็กละน้อย จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ถึงฤดูท่องเที่ยวของไร่จิมทอมป์สัน ผมจึงขับรถไปดูหมู่บ้านอีสานที่นี่อีกครั้ง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของบ้านผมอย่างน้อยก็ไปเอาแรงบันดาลใจก็ยังดี เผื่อผมจะคิดออก (ปกติก็ไปทุกปี)

เมื่อกลับมาถึง ผมก็มานั่งออกแบบโครงสร้าง สรุปว่า ผมจะต่อแนวหลังคาเดิมยื่นออกมาจากครัวไฟ คลุมพื้นที่จนถึงห้องด้านหน้า เว้นชานตรงฮ้างหม้อน้ำเอาไว้ยืนดูดาว และก็มีข่าวดีที่ลุงช่างของผมซึ่งเป็นช่างปลูกเรือนเดิม มีเวลาว่างให้ผมถึง 5 วัน !!!! นั่นหมายความว่า ถ้าห้าวันนี้ไม่ทำ ผมต้องรอคิวนานไปถึงปลายปีหน้า การที่ต้องผ่านฤดูฝนอีกปีโดยมีผ้าใบคลุมชานแดดไว้นี่คงเป็นเรื่องบันเทิงมากเลยทีเดียว 5555

แต่แล้วก็เกิดเหตุช็อกขึ้นจนได้ เนื่องจากที่ทำงานของผมต้องรับการประเมินคุณภาพในสัปดาห์เดียวกับที่ลุงจะเข้ามาทำบ้าน งานนี้ ผมจึงต้องเขียนแบบแล้วเอาแบบติดสก๊อตเทปเอาไว้ที่ฝาบ้านให้ลุงแกดูแบบ งานนี้ทิ้งบ้านไว้กับลุง 5 วันโดยที่ไม่ได้กลับมาดูเลย ผมนี่รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี 555 เพราะบ้านมันออกแนวคัสต้อม มีจุดที่อาจจะต้องเกิดปัญหาต้องดัดแปลงแทบจะตลอดเวลา ก็อาศัยประสานงานทางโทรศัพท์เอา

โครงสร้างนั้น ผมใช้เสาไม้เต็งและไม้แดงเก่า ขนาด 4×4 นิ้ว ถอดเสาราวระเบียงเดิมออกมาแล้วขัดสีย้อมไม้ที่ลอกร่อนออกจากราวระเบียงทุกชิ้น อะเส อกไก่ ใช้ไม้เต็งขนาด 5×1.5 นิ้ว ยาว 10 ศอก (5 เมตร) บากต่อเข้ากับอะเสและอกไก่ที่วิ่งมาจากครัวไฟ

เริ่มงาน ปรับปรุง

ร่มรื่นมาก

ส่วนเส หรือคานนั้น ตัวหน้าตรงบริเวณบันได มีเสาไม้รองรับ ผมใช้ไม้เต็งเก่าหน้า 6×1.5 นิ้ว วิ่งยาวตลอดไปเข้าเสาเรือนเกย ส่วนเสตัวกลาง ตรงนี้ span จะยาว 4 เมตร ไม่มีเสากลาง ผมจึงใช้ไม้เต็งหน้า 6×2 นิ้ว วิ่งยาวตลอดไปจนถึงเสาเรือนเกย จันทันเป็นไม้เต็งขนาด 3×2 นิ้ว

แปใช้แปสังกะสี หลังคาเมทัลชีทลอนสเปน

หน้าจั่วทำเป็นจั่วพระอาทิตย์เหมือนครัวไฟเดิม แต่เพิ่มชายคาหน้าจั่วออกมา โครงสร้างไม้ที่อยู่ใต้ชายคาทั้งหมด ผมทาด้วยสีย้อมไม้ Wood stain สามรอบเหมือนเดิม แต่ส่วนที่พ้นชายคาออกมานั้น คราวนี้ผมทาด้วย Teak oil ซึ่งเป็นน้ำมันรักษาเนื้อไม้แทน

เมื่อกลับมาถึงเรือน เจอผลงานที่ลุงช่างทำทิ้งไว้ให้ก็ยิ้มออกครับ งบประมาณที่ใช้ไปก็ประมาณสามหมื่นกว่าบาท คราวนี้ก็คงอยู่กันแบบยาว ๆ แล้ว ซ่อมทำเฉพาะส่วนที่ชำรุด ผมน่าจะเชื่อแม่กับพ่อที่บอกเอาไว้ว่า “เชื่อเถอะลูก ปลูกเรือนแล้วมันบานปลาย ตอนพ่อปลูกเรือนเราก็แบบนี้แหละ” 5555